วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เลือกอย่างไร รองเท้าวิ่ง ถูกและดี

เลือกอย่างไร รองเท้าวิ่ง ถูกและดี


             ผลวิจัยจากองค์การวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ (International Agency Of Research On Cancer หรือ IARC) พบว่า ความอ้วนเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดมะเร็ง ซึ่งผลการสำรวจสุขภาพประชาชนไทยครั้งที่ 4 ในปี 2552 โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข ระบุว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีภาวะอ้วนเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 27 ในปี 2547 เป็นร้อยละ 35 ในปี 2552 จึงเกิดการณรงค์ให้ออกกำลังกายในหลายหน่วยงานเป็นที่คึกคัก





แล้วจะเลือกซื้อรองเท้าวิ่งแบบไหนดี? เพราะทุกวันนี้รองเท้าวิ่งวางให้เลือกเกลื่อนกลาดจนตาลาย หลายแบบหลากยี่ห้อ ส่วนราคาตั้งแต่ระดับมิตรภาพถึงขั้นสุดโหด


ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ ได้พูดคุยกับ ผศ.ดร.เฉลิม ชัยวัชราภรณ์ อายุ 62 ปี ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบ วิจัย วัสดุและอุปกรณ์ทางการกีฬา ถึงเรื่องนี้



       อาจารย์เฉลิม เห็นด้วยว่า วิ่งคือการออกกำลังกายที่ได้รับความนิยมสูง เพราะเป็นกีฬาที่เล่นง่าย สามารถทำได้โดยลำพัง ไม่ต้องใช้เครื่องมือมากมาย แค่มีรองเท้าก็ออกวิ่งได้ แต่การวิ่งก็มีโอกาสบาดเจ็บสูงหากวิ่งไม่ถูกวิธี และเลือกรองเท้าไม่เหมาะกับตัวเอง ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบฯ อธิบายว่า การวิ่งที่ถูกต้องที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บน้อยที่สุด คือ การลงด้วยส้นเท้าแล้วถ่ายน้ำหนักไปที่ฝ่าเท้า วิธีนี้จะรับแรงกระแทกน้อยที่สุด คือ ประมาณ 1-1.5 เท่าของน้ำหนักตัว แต่ถ้าวิ่งลงเต็มเท้าเราจะรับแรกกระแทกถึง 3 เท่าของน้ำหนักตัว เช่น ถ้าหนัก 80 กิโลกรัม วิ่งลงเต็มเท้าก็เหมือนเราแบกรับน้ำหนัก 240 กิโลกรัม เป็นต้น ซึ่งนี่คือสาเหตุของการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นข้อเท้า หัวเข่า น่อง หรือ เอว 



พื้นที่วิ่งก็สำคัญ


          "วิ่งบนลู่เครื่องวิ่งลดแรงกระแทกได้ 25-30%  วิ่งบนพื้นหญ้าจะช่วยลดแรงได้กระแทกได้ 40% แล้วแต่พื้นหญ้าเป็นดินนุ่มหรือดินแข็ง ถ้าดินแข็งแต่มีหญ้าอยู่บนนั้นก็จะได้ถึง 30% ส่วนลู่วิ่งที่ออกแบบมาสำหรับวิ่งแข่ง คือ ลู่วิ่งแดงๆ ที่เราเห็นในสนามกีฬามาตรฐานก็ช่วยได้ประมาณเกือบ 35% ใกล้เคียงพื้นหญ้าทีเดียว"




นอกจากพื้นที่วิ่ง รองเท้าซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักก็สามารถช่วยได้

               ในทางวิชาการ ระหว่างการวิ่ง จังหวะที่ส้นเท้าสัมผัสพื้นนั้น ส้นเท้าจะได้รับแรงกระแทกประมาณ 2 เท่าของน้ำหนักตัวในช่วงเวลา 50 มิลลิวินาที นับจากจังหวะที่ส้นเท้าสัมผัสพื้น การกระแทกจะเกิดซ้ำๆ กัน ประมาณ 500 ครั้ง/กิโลเมตร แต่การทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อจะมีระยะเวลาในการสั่งการและการหดตัวตอบสนองคำสั่งประมาณมากกว่า 100 มิลลิวินาที ดังนั้นจะเห็นได้ว่าระบบประสาทไม่สามารถสั่งการตอบสนองต่อการหดตัวของกล้ามเนื้อได้ทันต่อการลงน้ำหนักตัวขณะวิ่งทำให้ร่างกายอาจเกิดการบาดเจ็บได้ดังนั้นคุณสมบัติการดูดซับแรงกระแทกของพื้นรองเท้าชั้นกลางจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเนื่องจากจะสามารถช่วยยืดระยะเวลาที่แรงกระแทกมากระทำที่ส้นเท้าและช่วยลดอาการบาดเจ็บได้


            "บางคนบอกว่าทำไมนักวิ่งมาราธอนแถวอัฟริกาเขาวิ่งด้วยเท้าเปล่า เราบอกว่านั่นเขาเป็นข้อยกเว้น เพราะน้ำหนักตัวเขาเบามาก ฉะนั้นแรงกระแทกต่างๆ อาจจะไม่มีผล แต่ถ้าวิ่งเพื่อสุขภาพเราจะไปทำแบบเขาไม่ได้"อาจารย์เฉลิมยืนยัน และว่า รองเท้าเป็นตัวช่วยหนึ่งที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ข้อเข่าและข้อเท้าน้อยลง

            "จะเห็นว่าทุกวันนี้มีหลายๆ บริษัทพยายามจะผลิตรองเท้าที่รับแรงกระแทกได้ดี แต่ถามว่าอะไรคือคำว่าดี รับแรงกระแทกได้เยอะๆ ดีไหม ไม่ดีหรอกครับ เพราะถ้านุ่มมากวิ่งยวบไปยวบมามันก็จะเสียการทรงตัว มีส่วนทำให้บาดเจ็บเหมือนกัน ฉะนั้นหลายบริษัทจึงแข่งขันกันคิดค้นประดิษฐ์พื้นรองเท้าที่มีการรับน้ำหนักในลักษณะต่างๆ กัน เช่น ใส่น้ำเข้าไป ใส่เจลเข้าไป หรือไม่ก็อัดอากาศเข้าไปเหมือนยางรถยนต์ หรือ ใช้เป็นพื้นพลาสติกลักษณะเป็นคลื่นเพื่อรับแรงกระแทก บางบริษัทก็ทำเป็นโช็คอัพ เป็นสปริง ที่นิยมและทำมาตลอดคือพื้นรองเท้าชั้นกลางที่เป็นวัสดุผสมพลาสติก อาทิ โพลียูรีเทน เป็นต้น ทีนี้เราจะไม่พูดว่าอะไรดีหรือไม่ดี เพราะยังไม่มีการวิจัยที่นำแต่ละรูปแบบมาเปรียบเทียบ คือแต่ละบริษัทเขาก็ใช้แล็บของบริษัทตัวเองในการเผยแพร่ว่าทำไมสปริงดี ทำไมเจลดี หรือ ทำไมลมดี ก็เป็นการโฆษณาของเขา แต่ถามผม ผมบอกได้ว่าพื้นรองเท้าที่ดี คือ ต้องใช้วัสดุที่ทำให้แรงกระแทกกระจายได้ทั่วถึงกัน ต้องมีการกระจายแรงหลังจากลงด้วยส้นแล้วถ่ายไปที่ฝ่าเท้าปลายเท้าต้องดี และควรจะเป็นพื้นแข็งเท่ากันตลอดทั้งรองเท้า"

1 ความคิดเห็น: