วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

วิ่ง 432,000 ก้าว

วิ่ง 432,000 ก้าว ชีวิตเปลี่ยน

        การวิ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญแคลอรีแล้ว การวิ่งยังทำให้สมองไวใจสงบและอายุยืนขึ้นด้วย มาประเมินประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการวิ่งด้วยคู่มือต่อไปนี้กันดีกว่า



วิ่ง 5,400 ก้าว สมองไวขึ้น

ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ชี้ว่า การวิ่งแค่ครึ่งชั่วโมงจะทำให้คุณตอบสนองได้เร็วขึ้น และยังช่วยพัฒนาทักษะด้านการใช้เหตุผลด้วย (การเล่นเวตไม่มีผลในเรื่องนี้เลย) แถมการวิ่งยังให้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องอีกต่างหาก เพราะการศึกษาในวารสาร Neurology ชี้ว่า คนที่วิ่งเป็นประจำ สมองจะใช้งานได้นานกว่า แต่ในคนที่ไม่ค่อยวิ่งโอกาสในการเป็นโรคอัลไซเมอร์จะสูงขึ้นกว่า 2 เท่า (วิ่ง 30 นาที)

วิ่ง 8,100 ก้าว  เผาผลาญไขมันตลอดวัน

นอกจากจะเผาผลาญแคลอรีขณะวิ่งแล้ว ร่างกายก็ยังเผาผลาญแคลอรีหลังการวิ่งได้มากขึ้นด้วย เพราะผลวิจัยจาก Human Performance Laboratory ชี้ว่า การวิ่ง 45 นาทีช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้นานถึง 14 ชั่วโมงนั่นแปลว่าไม่นับพลังงานที่หมดไปกับการวิ่ง ร่างกายก็ยังเผาผลาญได้อีกตั้งวันละ 190 กิโลแคลอรี (วิ่ง 45 นาที)

วิ่ง 27,000 ก้าว อารมณ์ดีขึ้น

การวิ่งถือเป็นวิธีที่ช่วยตัดวงจรความคิดในแง่ลบได้ดี เพราะจะบีบให้คุณจดจ่ออยู่กับปัจจุบันขณะ วิคเตอร์ ทอมป์สัน นักจิตวิทยา บอกว่า การวิ่งเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง จะทำให้คุณสงบและรับมือกับความเครียดเล็กๆ น้อยๆ ได้ดีขึ้น แถมผลวิจัยใน Journal of Psychosomatic Medicine ยังชี้ด้วยว่าถ้าเทียบกับคนที่กินยาอย่างเดียว ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่ออกกำลังกายก็มีโอกาสหายมากกว่า (วิ่ง 30 นาที สัปดาห์ละ 4 ครั้ง)

วิ่ง 54,000 ก้าว ถนอมข้อต่อ

การวิ่งไม่ได้ทำให้ข้อต่อพังอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน เพราะผลวิจัยของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดชี้ว่า การวิ่งประมาณ 1 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 5 ครั้ง ช่วยลดปัญหาเรื่องข้อต่อในช่วงบั้นปลายชีวิตได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าต้องรออีก 20 ปี คุณถึงจะได้ประโยชน์จากการวิ่ง เพราะหลังจากวิ่งแค่ 1 สัปดาห์ กล้ามเนื้อของคุณก็จะทั้งแข็งแรงและกระชับขึ้น และนั่นก็จะช่วยป้องกันปัญหาเรื่องข้อต่อ (วิ่ง 60 นาที สัปดาห์ละ 5 ครั้ง)

วิ่ง 144,000 ก้าว ลดความดันเลือด

บทวิเคราะห์ผลวิจัยจำนวน 25 เรื่องซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Hypertension ชี้ว่าน้ำหนักตัวที่คุณลดได้ทุกๆ 1 กิโลกรัมจะทำให้ความดันเลือดลดลง 1/1 มิลลิเมตรปรอท ถ้าคุณวิ่ง 50 นาที สัปดห์ละ 4 ครั้ง คุณจะเผาผลาญได้ 7,700 แคลอรี (ปริมาณที่ทำให้น้ำหนักตัวลดลง 1 กิโลกรัม) ภายในเวลาแค่ 1 เดือน และนี่ก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ที่มีภาวะความดันเลือดสูง ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคหลอดเลือดสมองภาวะหัวใจวายเฉียบพลันและโรคไต (วิ่ง 50 นาที สัปดาห์ละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์)

วิ่ง 388,800 ก้าว เสริมสร้างกล้ามเนื้อ

คุณไม่จำเป็นต้องเล่นเวตเพื่อเพิ่มมวลกล้ามเนื้อ เพราะถึงการสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อใหม่ๆ หลังอายุ 30 ปีขึ้นไปจะลดลง 3.5 เปอร์เซ็นต์ในทุกๆ 10 ปี แต่การวิ่งสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 4 เดือน ก็ช่วยป้องกันการสูญเสียดังกล่าวได้ เพราะการศึกษาที่ตีพิมพ์ใน The American Journal of Physiology ชี้ว่าเป็นวิธีที่ช่วยเพิ่มการสร้างเส้นใยกล้ามเนื้อใหม่ๆ ได้ถึง 20 เปอร์เซ้นต์ (วิ่ง 45 นาที สัปดาห์ละ 3 ครั้ง เป็นเวลา 4 เดือน)

วิ่ง 432,000 ก้าว ลดคอเลสเตอรอล


ในการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบผลของการออกกำลังกายประเภทต่างๆเป็นเวลา 10 สัปดาห์ พบว่าการวิ่งเป็นการออกกำลังกายประเภทที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล (ไขมันอันตราย) ในกระแสเลือดได้มากที่สุด ขณะที่มาโยคลินิกชี้ว่า การวิ่งเป็นเวลา 2 เดือน ยังช่วยเพิ่มระดับคอเลสเตอรอล HDL (ไขมันดี) ได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์ด้วย ถ้าระดับไขมันดีและไขมันเลวไม่สมดุลกันสักเท่าไร โอกาสในการเป็นโรคหัวใจก็จะสูงขึ้นถึง 2 เท่า นั่นก็เป็นเหตุผลที่คุณควรจะเริ่มวิ่งได้แล้ว (วิ่ง 60 นาที สัปดาห์ละ 4 ครั้ง เป็นเวลา 10 สัปดาห์)

ขอบคุณข้อมูลดีๆ
http://healthmeplease.com/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87.html

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

10 สถานที่วิ่งออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ในกรุงเทพฯ

        10 สถานที่วิ่งออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ ในกรุงเทพฯ

1.สวนลุมพินี

           สวนลุมพินี เป็นสวนสาธารณะแห่งแรกของประเทศไทย ตั้งอยู่บนถนนพระรามที่ 4 ล้อมรอบด้วยถนนวิทยุ ถนนราชดำริ และซอยสารสิน แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เป็นสถานที่ที่นักออกกำลังกายมักจะไปวิ่งกันมาก เนื่องจากอยู่ใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 7 พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า "สวนลุมพินี" ซึ่งเป็นชื่อสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้าในประเทศเนปาล แต่พระองค์เสด็จสวรรคตก่อนจึงไม่แล้วเสร็จ

2.สวนเบญจกิติ

          สวนเบญจกิติ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนถนนรัชดาภิเษก มีพื้นที่ 430 ไร่ แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรกมีพื้นที่ 130 ไร่ สร้างเสร็จสมบูรณ์แล้วจัดให้เป็นสวนสาธารณะ เน้นสวนน้ำเป็นหลัก มีลานสุขภาพสำหรับคนชอบออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังมีลานแสดงกลางแจ้งเป็นลานแบบเปิด เ พื่อแสดงงานประเพณี ศิลปวัฒนธรรม การละเล่นต่างๆ ส่วนพื้นที่อีก 300 ไร่ จัดเป็นสวนป่า เป็นแหล่งความรู้เกี่ยวกับพรรณไม้ต่างๆ ในเมืองไทย รวมทั้งได้จำลองลักษณะทางธรรมชาติของแต่ละภาคที่แตกต่างกันไปให้ประชาชนได้ศึกษา ซึ่งสวนดังกล่าวกำลังจะดำเนินการสร้างต่อไป

3.สวนเบญจสิริ


        สวนเบญจสิริ ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท สร้างเพื่อน้อมเกล้าถวายในวโรกาสที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถทรงมีพระชนมพรรษาครบ 60 พรรษาในปี 2535 บริเวณกลางสวนตกแต่งเป็นสวนป่า มีสระน้ำ ศาลาพักผ่อน ลานอเนกประสงค์ ส่วนด้านหลังและด้านข้างเป็น สวนสุขภาพ สนามเด็กเล่นลานสเก็ต สนามบาสเกตบอล สนามตะกร้อ และสระว่ายน้ำ พร้อมสระเด็กเล็ก

4.สวนหลวง ร.9


       สวนหลวง ร.9 เป็นสวนสาธารณะ และสวนพฤษศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ มีพื้นที่ทั้งหมด 500 ไร่ ภายในประกอบด้วย อาคารเทิดพระเกียรติ รวมเรื่องราวพระราชกรณียกิจ และสิ่งของเนื่องในองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สวนพฤกษศาสตร์ สวนรมณีย์ ตระพังแก้วเก็บน้ำฯลฯ ซึ่งมีสนามหญ้า และต้นไม้ร่มรื่น และบริเวณให้วิ่ง เปิดให้ประชาชนเข้าพักผ่อนหย่อนใจได้ทุกวัน

5.สวนสันติภาพ


        สวนสันติภาพ สวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจและออกกำลังกาย เป็นสวนสาธารณะที่อยู่ใกล้อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทำให้เป็นอีกหนึ่งสถานที่นิยมเลือกมาวิ่งออกกำลังกาย การเดินทางสะดวกสบายอยู้ใกล้รถไฟฟ้า

6. สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติเกียกกาย


       สวนสาธารณะเฉลิมพระเกียรติเกียกกาย ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ ในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 และเพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ นันทนาการ การกีฬาแก่ประชาชนในพื้น

7.สวนเสรีไทย


       สวนเสรีไทย สวนสาธารณะสำหรับพักผ่อนหย่อนใจ มีพื้นที่ประมาณ 350 ไร่ มีจุดที่น่าสนใจหลายแห่งได้แก่ อาคารเสรีไทยอนุสรณ์ สวนน้ำ สวนป่า ทำให้ที่นี่ร่มรื่นเหมาะแก่การวิ่งออกกกำลังกาย

8.สวนหลวงพระราม 8



       สวนหลวงพระราม 8 สวนสาธารณะขนาดใหญ่ มีเนื้อที่ 50 ไร่ ตั้งอยู่ใต้สะพานพระราม 8 ฝั่งธนบุรี ที่ทางกรุงเทพมหานครดำเนินการก่อสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นราชสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชว่า สวนหลวงพระราม 8 ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งถือเป็นจุดชมทัศนียภาพที่สวยงามเป็นอย่างยิ่ง ภายในยังมี พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ขนาด 3 เท่าของพระองค์จริง สูงประมาณ 5.4 เมตร ประดิษฐานเป็นสิริมงคลแก่สวนแห่งนี้ด้วย 

9.สวนวชิรเบญจทัศ (สวนรถไฟ)


       สวนรถไฟ เดิมเป็นสนามกอล์ฟรถไฟ จัดสร้างขึ้นเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับกรุงเทพมหานคร และเพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและเพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องในวโรกาสที่ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯสยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระชนมายุครบ 50 พรรษา เป็นสถานที่ที่ครอบครัวนิยมมานั่งพักผ่อน ปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพและวิ่งออกกำลังกาย ในช่วงที่ดอกชมพูพันธุ์ทิพย์บานสะพรั่ง ผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายภาพจะสะพายกล้องมาถ่ายภาพประทับใจกันคับคั่ง

10. สวนรมณีนาถ


      สวนรมณีนาถ เคยเป็นเรือนจำกลางคลองเปรมประชากร ซึ่งเป็นเรือนจำขนาดใหญ่เพียงแห่งเดียวบนเกาะรัตนโกสินทร์ สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยสร้างให้ออกมาตามอาคารสมัยนิยมแบบฝรั่ง ต่อมาจึงปรับเป็นสวนสาธารณะ

ขอบคุณข้อมูล
http://www.edtguide.com/health/445656/10-%E0%B8%AA%E0%B8%96%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E-%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%AF

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

10 เหตุผลที่ควรออกกำลังกายด้วยการวิ่ง



 1. เบิร์นไขมันส่วนเกินได้ไว

          สำหรับผู้ที่ต้องการจะลดความอ้วน นี่คือวิธีออกกำลังที่เวิร์คมากที่สุดเลยทีเดียว จำไว้ว่ายิ่งวิ่งมากเท่าไหร่ไขมันส่วนเกินก็สลายไปมากเท่านั้น นอกจากนี้การสอยเท้าทะยานไปข้างหน้านี้ยังดีต่อสุขภาพปอด, หัวใจ และเส้นเลือด รวมไปถึงต้องไม่ลืมการควบคุมอาหารไปพร้อม ๆ กันอีกด้วย เพราะขืนคุณยังกินอาหารสะเปะสะปะแบบไม่ยั้ง วิ่งให้ขาขวิดยังไงก็ไม่ผอมหรอก

2. ช่วยสลายความเครียด
          ช่วงเวลาที่คุณกำลังวิ่งโดยจดจ่อกับเส้นทางที่อยู่ข้างหน้านี่แหละ คือช่วงเวลาที่จะได้ครุ่นคิดและทบทวนสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปสนใจตัวเลขจำนวนแคลอรี่ ระยะทาง หรือระยะเวลาในการวิ่ง กว่าจะรู้ตัวอีกที คุณอาจวิ่งได้ไกลถึงขนาดไปแข่งมาราธอนได้สบาย ๆ เลยนะ นอกจากนี้ หากคุณกำลังอารมณ์เสียจากที่ไหนมา ก็เชิญมาระบายความโกรธลงบนลู่วิ่งได้เลยเต็มที่ คิดเสียว่ากำลังวิ่งไล่คู่กรณีที่ทำให้หงุดหงิดอยู่ รับรองอารมณ์โกรธหมดไปเมื่อไหร่ น้ำหนักตัวก็หายตามไปด้วย

3. เป็นการฝึกฝนสมาธิอีกวิธีหนึ่ง


          แน่นอนว่าการวิ่งเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ทว่าไม่เพียงแค่นั้น จริง ๆ แล้วมันยังเป็นวิธีออกกำลังกายทางจิตใจด้วย เพราะการวิ่งช่วยฝึกฝนสมาธิให้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง รวมถึงช่วยปลดปล่อยใจให้รู้สึกเป็นอิสระได้ดีขึ้น



4. เพิ่มความแข็งแกร่งได้ด้วย


          สำหรับผู้ที่เริ่มต้นวิ่งใหม่ ๆ อาจรู้สึกเหมือนเหนื่อยแทบขาดใจ หรือขาไม่มีเรี่ยวแรงหลังวิ่งเสร็จ แต่ถ้าอดทนวิ่งได้สักระยะหนึ่ง ร่างกายส่วนต่าง ๆ ของคุณจะเริ่มปรับตัวได้ จนสามารถวิ่งได้ระยะทางไกลกว่าเดิมแน่นอน นั่นเพราะความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นจากการวิ่งยังไงล่ะ

5. สร้างภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรงขึ้น


          ประโยชน์ที่ได้จากการวิ่งนอกเหนือจากที่กล่าวไปแล้วข้างต้น มันยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันในร่างกายให้มากขึ้นได้อีกด้วย พอกันทีสำหรับอาการป่วยออด ๆ แอด ๆ จากพิษไข้, หวัด หรือไอ เพราะคุณสามารถสลัดอาการเหล่านี้ทิ้งไปได้ด้วยการใส่เกียร์เดินหน้าวิ่ง !!



 6. ดีต่อกล้ามเนื้อและความฟิต

          อย่าเข้าใจผิดคิดว่าการวิ่งเป็นวิธีออกกำลังที่ส่งผลดีแค่เฉพาะช่วงขาเท่านั้น แต่ความจริงแล้วการวิ่งยังช่วยให้กระดูกและกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ในร่างกายแข็งแรงขึ้น ทำให้คุณรู้สึกสดชื่น กระปรี้กระเปร่า หลังเสียเหงื่อ ที่สำคัญรูปร่างคุณจะเพรียวบางกว่าเดิมด้วย

7. เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง


          นอกเหนือช่วยสลายความเครียดและสร้างสมาธิให้กับคุณได้แล้ว การวิ่งสามารถสร้างความมั่นใจในตัวเองได้ด้วยนะเออ !! ยังไงน่ะเหรอครับ ? เนื่องจากในทุก ๆ ครั้งที่เราวิ่ง คนส่วนใหญ่จะตั้งเป้าหมายในการวิ่งเอาไว้แล้วว่าวันนี้ต้องวิ่งให้ได้เท่านี้ ๆ วันต่อไปต้องดีขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ ซึ่งถ้าทำได้ตามเป้าทุกครั้ง มันก็เพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองด้วย ว่าจริง ๆ แล้วคุณก็ทำได้ ถ้ามีความตั้งใจจริง

 8. ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคต่าง ๆ


          ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่างทุกวันนี้ ทำให้คนมีโอกาสเจ็บไข้ได้ป่วยง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเพราะสภาพแวดล้อม, มลพิษ, อายุ หรือกรรมพันธุ์ ก็ตาม ทว่าคุณสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการวิ่ง เพราะมันช่วยให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และเปลี่ยนพลังงานที่มีอยู่ให้มาช่วยต้านโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ หากปฏิบัติเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ไปพร้อม ๆ กับการดูแลเรื่องการใช้ชีวิต รับรองว่าสุขภาพที่ดีอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอน



 9. ช่วยลดความวิตกกังวลได้

          เคยมีการศึกษามาก่อนหน้านี้แล้วว่า การวิ่งสามารถสร้างฮอร์โมนส์ที่ช่วยลดการหลั่งของสารเซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารที่มีบทบาทหลายหน้าที่เช่น เรื่องอารมณ์หรือความโกรธ เป็นต้น ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมหลังวิ่งเสร็จคุณถึงลืมเรื่องที่เคยวิตกไป

10. สร้างความสุขได้


          ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอีกเช่นเดียวกันที่การออกกำลังกายด้วยการวิ่ง จะช่วยให้คุณรู้สึกมีความสุขหรือกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้ เพราะสารแห่งความสุขอย่าง เอ็นดอร์ฟิน จะหลั่งออกมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้วิ่งตามสวนสาธารณะในยามเช้ากับเพื่อน ๆ ท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์ มันจะฟินมากเลยล่ะ



ขอบคุณข้อมูลดีๆ
http://men.kapook.com/view69703.html

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2559

แนะนำ รองเท้าวิ่ง อย่าพลาด!!!!

แนะนำ รองเท้าวิ่ง 5 ยี่ห้อ 8 รุ่น


1. รองเท้าวิ่ง Mizuno

รองเท้า Mizuno เป็นรองเท้าแบรนด์ดังสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งเอกลักษณ์เด่นๆของรองเท้านั้นคือ เทคโนโลยี Wave plate ซึ่งเป็นแผ่นพลาสติกที่อยู่บริเวณ Midsole ของรองเท้า มองเห็นชัดสุดคือส่วนส้นของรองเท้ามีลักษณะคล้ายคลื่นทะเล แผ่นรูปคลื่นนี้จะช่วยรองรับแรงกระแทกได้ดี และกระจายออกไปเปรียบเสมือนโช้คของรถยนต์ นั้นเอง
รองเท้าวิ่ง Mizuno มีอยู่หลายรุ่น เช่น Wave Rider, Wave Creation, Wave Enigma, Wave Prophecy, Wave Inspire, Wave Paradox ซึ่งวันนี้เราเลือกมาแนะนำ 2 รุ่น คือ

– รองเท้า Mizuno รุ่น Wave Inspire


เป็นรองเท้าคู่ใจให้สำหรับนักวิ่งที่ต้องการซัพพอร์ท ใช้สำหรับซ้อมระยะทางไกลได้เป็นอย่างดี

– รองเท้า Mizuno รุ่น Wave Prophecy

รองเท้ารุ่นนี้มีแผ่นเวฟสองชั้นทำให้มันรองรับแรงกระแทกได้อย่างยอดเยี่ยม โดยการแยกส่วนเท้าและพื้นออกจากกัน แผ่นพลาสติกยังช่วยให้ รู้สึกกระชับ ตอบสนองได้ดี เหมาะสำหรับคนที่ต้องการการรองรับแรงกระแทกสูงสุด อย่างผู้ที่มีน้ำหนักมาหหรือผู้ที่หัดวิ่งใหม่ๆ

2. รองเท้าวิ่ง Asics

รองเท้า Asics เป็นรองเท้าแบรนด์ดังสัญชาติญี่ปุ่นอีกเช่นเคย ซึ่งรองเท้ามีเทคโนโลยีที่เน้นการรองรับแรงกระแทก โดดเด่นเรื่องความนุ่ม เบาสบาย และ ดีไซน์ที่สวยงาม รองเท้ายี่ห้อนี้จึงครองใจใครหลายๆคนเป็นอย่างมาก แต่ก็ติดตรงที่ราคาค่อนข้างแพง เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใจร้อนจนเกินไป รอซื้อตอนมันลดราคาก็แล้วกันครับ
รองเท้าวิ่ง Asics ที่นำมาให้ชมกันในวันนี้ถือเป็นรุ่นตัวท็อบๆ ของบ้านเราเลยก็ว่าได้ลองมาชม 2 รุ่นนี้กันเลย

– รองเท้า Asics รุ่น Nimbus

รองเท้ารุ่นนี้เหมาะสำหรับคนเท้าโค้งเว้ามาก ไปจนถึงคนเท้าปกติ ส่วนในพื้นรองเท้ามีการเพิ่มเทคโนโลยีโฟมซึ่งเป็นที่มาของความนุ่ม เบา สบายนั้นเอง 

– รองเท้า Asics รุ่น Kayano

รองเท้ารุ่น Kayano ถือเป็นตัวท็อบสำหรับคนเท้าแบบ โค้งเว้าไม่มาก ไปจนถึงคนเท้าปกติ ที่นักวิ่งส่วนใหญ่หลายๆคนมองหาเลยทีเดียว แถมยังมีความเบา สะบาย กระชับทุกการเคลื่อนไหวอีกด้วย 
ขอบคุณข้อมูลดีๆ
http://www.lookkeeper.com/%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B3-%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87-5-%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B8%AD-8-%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%AA%E0%B8%B4-%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2/

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559

การวิ่งเพื่อสุขภาพ

การวิ่งเพื่อสุขภาพ
        การวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิคที่ส่งผลให้เกิดการรับออกซิเจนของร่างกายดีขึ้น เพราะทำให้หัวใจ หลอดเลือด ปอด กล้ามเนื้อ และอวัยวะอื่น ๆ แข็งแรงนอกจากนี้ยังช่วย ให้ผู้วิ่งคลายความตึงเครียดทางจิตใจและมีอารมณ์แจ่มใส อุปกรณ์ในการวิ่ง เสื้อกางเกง ที่สวมใส่ควรทำด้วยวัสดุ ที่ซับเหงือได้ดี ควรเป็นเสื้อแขนสั้น กางเกงไม่รัด แน่นที่รอบเอวเป้ากางเกงหลวม ร้องเท้าหุ้มส้นพอดีกับขนาดและรูปเท้า พื้นรองเท้าควรหนาและนุ่ม สถานที่วิ่ง ควรมีพื้นเรียบไม่เป็นหลุ่มเป็นบ่อ ไม่เอียงและชันมากเกินไป เวลาวิ่ง เลือกเวลาวิ่งที่สะดวกและสามารถทำได้เป็นประจำสม่ำเสมอได้ ควรหลีกเลี่ยงการวิ่งหลัง รับประทานอาหารอิ่มใหม่ ๆ และการวิ่งที่อากาศ
ร้อนจัด การวิ่งทำให้ร่างกายทุกส่วนได้ออกกำลังกาย ในระยะเริ่มต้นควรวิ่งเหยาะ ๆ ก่อน หากรู้สึก เหนื่อย มากควรเปลี่ยนเป็นเดิน เมื่อหายเหนื่อยแล้วจึงวิ่งต่อ เมื่อร่างกายแข็งแรงดีแล้วจึงเพิ่มการวิ่ง

ให้มากขึ้น โดยเพิ่มระยะเวลา หรือระยะทางหรือความเร็วในการวิ่งทีละน้อย

หลักของการวิ่ง

1. ใช้ท่าวิ่งที่เป็นธรรมชาติ ไม่เกร็ง เวลาลงเท้าใช้ส้นเท้าสัมผัสพื้นก่อนจึงวางเท้าเต็ม แล้วยกส้นเท้าขึ้น 
เข่าไม่ยกสูงมากและไม่เหยียดสุดลำตัว ศรีษะตั้งตรงข้อศอกงอเล็กน้อย และกำมือหลวม ๆ

2. ควรใช้ความเร็วที่รู้สึกเหนื่อยจนต้องหายใจแรง แต่ไม่ถึงกับบต้องหายใจทางปาก หรือมีอาการหอบ
เมื่อวิ่ง 4 - 5 นาที ควรมีเหงื่อออก แล้ววิ่งต่อไปได้เกิน 10 นาที ควรวิ่งวันละครั้ง นานครั้งละ 20 - 60 นาที
ใน 1 สัปดาห์ควรวิ่งให้ได้อย่างน้อย 3 วัน

3. ก่อนและหลังการวิ่งทุกครั้งควรอบอุ่นร่างกาย และผ่อนคลายร่างกายประมาณ 4-5 นาที โดยวิ่งเหยาะ ๆ
ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าที่ใช้วิ่งจริง และทำกายบริหารเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

อาการที่แสดงว่าควรหยุดวิ่ง
           เวียนศรีษะ คลื่นไส้ หรือหน้ามืดเป็นลม   รู้สึกคล้ายหายใจไม่ทันใจสั่น แน่น เจ็บที่บริเวณหน้าอก    ลมออกหู หูตึงกว่าปกติ      การเคลื่อนไหวร่างกายควบคุมไม่ได้ ถ้ามีอาการดังกล่าวขณะวิ่ง ควรชลอความเร็วในการวิ่งลง ถ้ายังมีอาการอยู่ให้เปลี่ยนเป็นเดิน
หากไม่หายให้หยุดวิ่งหรือนอนราบจนกว่าอาการจะดีขึ้น การวิ่งในวันต่อไปควรลดความเร็วและระยะทางลง ถ้าเห็นว่าอาการยังไม่หายให้รีบปรึกษาแพทย์


สำหรับประโยชน์ของการวิ่ง มีมากมายตั้งแต่...
1. ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือด ปอด หัวใจทำงานดีขึ้น ลดระดับไขมันในเลือด เพื่อป้องกันโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และช่วยให้ไม่เป็นลมหน้ามืดง่าย 
2. ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ลดภาวะกระดูกพรุน
3. ช่วยปรับภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานดีขึ้น
4. ช่วยควบคุมน้ำหนักของร่างกาย
5. กระตุ้นให้สมองเกิดการหลั่งสารเอ็นโดรฟินขึ้น ซึ่งเป็นสารเคมีธรรมชาติที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวด และทำให้รู้สึกสุขสบาย 

และสุดท้าย จะดีมากขึ้น ถ้าการวิ่งใช้เสื้อและกางเกงที่ทำจากผ้าฝ้าย ไม่รัดแน่นหรือหลวมจนเกินไป รวมทั้งรองเท้าหุ้มส้นที่พอดีกับขนาดและรูปเท้า ตลอดจนพื้นรองเท้าควรหนาและนุ่ม หากออกกำลังกายได้อย่างที่ว่า สุขภาพดีก็อยู่แค่เอื้อม

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559

7 รองเท้าวิ่งแจ่ม ๆ ที่น่าหามาใส่ในปี 2016

New Balance 1080 v4 จาก New Balance
              รองเท้าวิ่งรุ่นนี้จาก New Balance ได้รับการออกแบบมาให้สวมใส่ง่ายและสบายเท้าขณะวิ่ง ผลิตด้วยใยสังเคราะห์ชนิดพิเศษที่ให้ความยืดหยุ่นสูง มีตาข่ายระบายอากาศช่วยให้รองเท้าไม่อับชื้น มีเทคโนโลยี N2 ที่สามารถรองรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี โดยมีน้ำหนักเพียง 292 กรัม ผลิตออกมา 4 สีด้วยกัน ได้แก่ สีส้ม สีน้ำเงิน สีเทา และสีขาว


Adidas Energy Boost 2.0 จาก Adidas

                รองเท้าวิ่งจากแบรนด์ดัง Adidas รุ่นนี้ เป็นรองเท้าวิ่งที่มีความยืดหยุ่นสูง พื้นรองเท้าทำจากโฟมชนิดพิเศษ มีน้ำหนักที่ 275 กรัม ซึ่งช่วยให้การวิ่งแต่ละก้าวนุ่มนวลยิ่งขึ้น และถูกออกแบบให้ใส่กับเท้าเปล่าโดยไม่ต้องสวมถุงเท้าก็ได้ ไม่เพียงเท่านี้ ยังสามารถใช้กับสมาร์ทโฟนด้วยแอพพลิเคชั่น miCoach ที่รองรับทั้งระบบ Android และ iOS เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลการวิ่ง มีทั้งหมด 5 สี ได้แก่ สีแดง สีดำ สีฟ้า สีเขียวเข้ม และสีน้ำเงิน 

Brooks Glycerin 12 จาก Brooks


            แบรนด์ Brooks ได้รับแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์รองเท้าวิ่งรุ่น Glycerin 12 จากก้อนเมฆ ซึ่งออกแบบรองเท้าให้มีความเบาเป็นพิเศษ ราวกับวิ่งบนก้อนเมฆ เพราะมีน้ำหนักแค่ 258 กรัม และมีเทคโนโลยีแบบใหม่ที่เรียกว่า Super DNA ช่วยรองรับการกระแทกได้มากขึ้นถึง 25 เปอร์เซ็นต์ บวกกับพื้นรองเท้าที่มีคุณสมบัติพิเศษช่วยผ่อนแรงกดจากส้นเท้าไปยังปลายเท้าด้วย โดยรองเท้ารุ่นนี้มีทั้งหมด 6 สี ได้แก่ สีเทา สีดำ สีน้ำเงิน สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน-ส้ม


Asics 33-DFA จาก Asics

              รองเท้าวิ่งที่มีดีไซน์ปราดเปรียวรุ่น 33-DFA จาก Asics แบรนด์รองเท้าออกกำลังชื่อดังจากประเทศสหรัฐฯ มาพร้อมกับความแข็งแรงของพื้นรองเท้าที่ผลิตจากโฟมธรรมชาติ ซึ่งช่วยลดแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี โดยรองเท้าวิ่งรุ่นดังกล่าวถูกมีน้ำหนักเพียง 250 กรัม ช่วยให้การวิ่งเป็นธรรมชาติ มีทั้งหมด 3 สีด้วยกันคือ สีเขียว สีน้ำเงิน และสีส้ม

Nike Air Zoom Pegasus 31 จาก Nike


             รองเท้าวิ่งจากแบรนด์ที่หลายคนรู้จักอย่าง Nike เป็นรองเท้าที่มีความพิเศษอยู่ที่วัสดุที่ใช้ผลิตตัวรองเท้า ที่สามารถระบายอากาศและความชื้นได้ดี ทำให้วิ่งบนถนนหรือสนามที่เปียกได้อย่างไร้ปัญหา มีพื้นรองเท้าเป็นยางช่วยซับแรงกระแทกจากเท้า โดยมีน้ำหนักที่ 310 กรัม และผลิตออกมา 4 สี ได้แก่ สีแดง สีดำ สีเทา และสีเขียว 

Hoka Clifton จาก Hoka

              รองเท้าวิ่งรุ่น Clifton จากแบรนด์ Hoka มีจุดเด่นที่ความเบา เพราะมันมีน้ำหนักแค่ 218 กรัมเท่านั้น แต่มีความแข็งแรงของพื้นรองเท้าที่ช่วยลดแรงกระแทกได้มากขึ้นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ด้วยเทคโนโลยี Hoka One One บวกกับโครงสร้างรองเท้าแบบพิเศษที่รองรับความโค้งของเท้า ช่วยให้วิ่งได้สบายยิ่งขึ้น  มีทั้งหมด 4 สี ได้แก่ สีน้ำเงิน สีแดง สีเทา และสีเขียว

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

บทความดีๆ สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่

บทความดีๆ สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่



1.การวิ่งเพื่อสุขภาพ ต่างกับการวิ่งเพื่อการแข่งขัน
 
การวิ่งเพื่อสุขภาพ

               การวิ่งเพื่อสุขภาพต่างกับการวิ่งแข่งขันเพราะเป็นการวิ่งเหยาะๆด้วยความเร็วระหว่างการเดินกับการวิ่งเร็ว การวิ่งเพื่อสุขภาพเป็นการออกกำลังกายแบบอากาศนิยม (แอโรบิค) ชนิดหนึ่งที่ทำได้ง่ายเพราะไม่มีเทคนิคที่ซับซ้อน  และมีอันตรายน้อยเมื่อเทียบกับการเล่นกีฬาหรือการออกกำลังกายแบบอื่น  การวิ่งเพื่อสุขภาพที่ปฏิบัติอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพร่างกายจะส่งผลให้สมรรถภาพการรับออกซิเจนของร่างกายดีขึ้น เพราะทำให้หัวใจหลอดเลือดและปอดมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพและการทำงานจนสามารถรับและขนส่งออกซิเจนได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อและอวัยวะอื่นก็พลอยแข็งแรงขึ้น นอกจากนั้นยังมีผลต่อจิตใจที่ทำให้ผู้วิ่งคลายความเคร่งเครียดทางจิตใจและมีอารมณ์ปลอดโปร่งขึ้นด้วย

อุปกรณ์การวิ่ง

               ในภูมิอากาศโดยเฉลี่ยของประเทศไทย เสื้อกางเกงที่สวมใส่เวลาวิ่งควรทำด้วยวัศดุที่ซับเหงื่อได้ดี เช่น ทำด้วยฝ้าย ควรเป็นเสื้อแขนสั้นหรือไม่มีแขน กางเกงไม่รัดแน่นที่รอบเอวและวงขามากเกินไป เป้ากางเกงหลวมแต่ไม่หย่อน การใช้ชุดวอร์มอาจทำได้ในตอนเริ่มวิ่งเมื่ออากาศหนาวรองเท้าวิ่งควรเป็นรองเท้าหุ้มส้นที่พอดีกับขนาดและรูปเท้า ไม่มีการกดหรือเสียดสีกับส่วนใดส่วนหนึ่งของเท้าจนรู้สึกเจ็บขณะวิ่ง ถ้าวิ่งบนพื้นแข็ง พื้นรองเท้าควรหนาและนุ่ม

สถานที่วิ่ง

               ควรมีพื้นเรียบไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่เอียงข้างหนึ่งข้างใดอยู่ตลอดระยะทาง ระหว่างทางอาจมีเนินชันหรือทางลาดลงบ้างได้ แต่ไม่ควรชันมากเกินไป

เวลาวิ่ง

              เลือกเวลาที่สะดวกและสามารถทำเป็นประจำสม่ำเสมอไดแต่ต้องหลีกเลี่ยงการวิ่งหลังกินอาหารอิ่มใหม่ๆและการวิ่งในอากาศร้อนจัด



หลักของการวิ่งเพื่อสุขภาพ


หลักของการวิ่งเพื่อสุขภาพ

           1.ท่าวิ่ง ใช้ท่าวิ่งง่ายๆที่เป็นธรรมชาติไม่เกร็ง โดยส่วนใหญ่แล้วเวลาลงเท้าใช้ส้นเท้าสัมผัสพื้นก่อนจึงวางเท้าเต็มแล้วยกส้นเท้าขึ้น เข่าไม่ยกสูงมากและไม่เหยียบสุด ลำตัวและศรีษะตั้งตรงข้อศอกงอเล็กน้อย และกำมือหลวมๆในบางช่วงอาจเปลี่ยนท่าวิ่งเป็นลงปลายเท้าหรือเต็มฝ่าเท้าและยกเข่าสูงหรือแกว่งแขนมากขึ้นบ้างก็ได้ แต่ควรทำเป็นช่วงสั้นๆ

          2.ความหนัก ความนาน และความบ่อย ของการวิ่ง

           ความหนัก(ความเร็ว): ควรใช้ความเร็วที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยจนต้องหายใจแรง แต่ไม่ถึงกับต้องหายใจทางปากหรือมีอาการหอบ เมื่อวิ่งไปแล้ว 4-5 นาทีควรมีเหงื่อออก(ยกเว้นในอากาศเย็นจัดอาจยังไม่มี)แต่สามารถวิ่งต่อไปได้เกิน 10 นาที ความเร็วนี้อาจใช้คงที่ตลอดระยะทางหรือจะวิ่งเร็วสลับช้าบ้างก็ได้

ความนาน: แพทย์กีฬาทั่วโลกถือว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิคควรมีความนานติดต่อกันไปไม่น้อยกว่า 10 นาที จึงอาจถือได้ว่าการวิ่งเพื่อสุขภาพจะต้องวิ่งติดต่อกันไม่ต่ำกว่า10 นาที แต่ทั้งนี้ต้องจัดให้สัมพันธ์กับความหนักและความบ่อยด้วยจึงจะเกิดผลในการเสริมสร้าง

ความบ่อย: ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การกีฬาพบว่าการฝึกแบบแอโรบิคโดยปริมาณรวมต่อสัปดาห์เท่ากัน การฝึกโดยใช้จำนวนครั้งมากกว่าให้ผลดีกว่า(เมื่อเปรียบเทียบการฝึกวันละ10นาที6ครั้งต่อสัปดาห์ กับการฝึกวันละ30นาที2ครั้งต่อสัปดาห์ พบว่าการฝึกวันละ10นาที6ครั้งต่อสัปดาห์ให้ผลเพิ่มสมรรถภาพแอโรบิคมากกว่า)ดังนั้น การกำหนดความของการวิ่งเพื่อสุขภาพที่นิยมปฏิบัติกันอยู่ คือ อย่างน้อย3วันต่อสัปดาห์และมีผู้วิ่งเพื่อสุขภาพจำนวนมากที่วิ่งทุกวัน ความบ่อยและความนานต่ำสุดและสูงสุดที่ได้ผลดีต่อสุขภาพสำหรับผู้ทีไม่ต้องการแข่งขันคือ
 ความบ่อย       ต่ำสุด             สูงสุด
 (วันละครั้ง)     (นาที/ครั้ง)     (นาที/ครั้ง)
 ทุกวัน                   10                   30
 4วัน/สัปดาห์         15                   40
 3วัน/สัปดาห์         20                   60

สำหรับนักวิ่งเพื่อสุขภาพที่ประสงค์จะเข้าแข่งขันวิ่งทางไกลระยะต่างๆ จะต้องวิ่งซ้อมนานกว่านี้และต้องให้ได้ระยะทางรวมภายใน1สัปดาห์อย่างน้อย2-3เท่าของระยะทางที่จะเข้าแข่งขัน

3. การอบอุ่นร่างกาย(วอร์มอัพ) ก่อนวิ่งและการผ่อนคลายร่างกายหลังวิ่ง(คูลดาวน์) ก่อนและหลังการวิ่งทุกครั้งควรอบอุ่นร่างกายและผ่อนคลายร่างกายประมาณ4-5นาที การปฏิบัติคือวิ่งเหยาะด้วยความเร็วน้อยกว่าที่ใช้ในการวิ่งจริง และทำกายบริหารยืดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ
http://www.jogandjoy.com/s0120/index.php?tpid=0067

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

เทคนิค‘วิ่ง’ เพื่อสุขภาพ

เทคนิค ‘วิ่ง’ เพื่อสุขภาพ



1. เทคนิคในการวิ่ง

1.1 การลงเท้าที่ถูกวิธีเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บสำหรับนักวิ่งเพื่อสุขภาพ โดยส้นเท้าจะสัมผัสพื้นก่อนทั้งฝ่าเท้าจะตามลงมา และเมื่อปลายเท้าหมุนลงมาแตะพื้นก็เป็นจังหวะที่ส้นเท้าเปิดขึ้น ปลายเท้า ก็จะคล้ายตะกุยดิน ถีบตัวเหมือนสปริงดีดตัวขึ้นบนและเคลื่อนไปข้างหน้า
          จุดที่เท้าสัมผัสพื้นควรจะตรงกับหัวเข่างอเข่านิดๆ เท้าควรจะสัมผัสพื้นหลังจากที่ได้เหยียดออกไป ข้างหน้า ส่วนอีกเท้าเหวี่ยงไปข้างหลัง ควรจะลงแตะพื้นเบาๆ นักวิ่งส่วนใหญ่จะลงพื้นด้วยริมนอกของเท้า และหมุนเข้าด้านใน ซึ่งการหมุนเข้าด้านในช่วยเป็นเกราะกันกระแทก

1.2 ท่าทางในการวิ่ง ควรวิ่งให้หลังตรงและเป็นธรรมชาติมากที่สุด ศีรษะตรง ตามองตรงไปข้างหน้า ให้ส่วนต่างๆ จากศีรษะลงมาหัวไหล่และสะโพกจนถึงพื้นเป็นเส้นตรง ลำตัวไม่โน้มไปด้าน หน้าหรือเอนไปด้านหลัง


1.3 การเคลื่อนไหวของแขน จะช่วยเป็นจังหวะและการทรงตัวในการวิ่งขณะวิ่งแขนแกว่งไปมาเหมือนกับลูกตุ้มนาฬิกาไปตามแนวหน้าหลัง พยายามอย่าให้ข้อศอกงอเข้ามาแคบกว่า 90 องศา หัวแม่โป้งวางบนนิ้วชี้สบายๆ กำนิ้วหลวมๆ ข้อมือไม่เกร็ง บางครั้งอาจเหยียดแขนตรงลงมา หรือเขย่าแขนเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวบ้าง หลังจากยกแขนไว้นานๆ
1.4 การหายใจ หายใจเข้าทางจมูกและปล่อยลมหายใจออกพร้อมกันทั้งทางจมูกและปาก ยึดกฎง่ายๆ คือ การหายใจควรเป็นไปตามสบายและพยายามหายใจด้วยท้อง การหายใจด้วยท้อง คือสูดหายใจเข้าไปในปอดจนท้องขยายและบังคับปล่อยลม ให้ออกมาด้วยการแขม่วท้อง การหายใจไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้เกิดการจุกเสียดขณะวิ่งได้

2. ความหนัก ความนาน และความบ่อยของการวิ่ง ความหนักหรือความเร็ว ควรใช้ความเร็วที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยจนต้องหายใจแรง แต่ไม่ถึงกับต้องหายใจทางปากหรือมีอาการหอบ เมื่อวิ่งไปแล้ว 4-5 นาทีควรมีเหงื่อออก ยกเว้นในอากาศเย็นจัดอาจยังไม่มี แต่สามารถวิ่งต่อไปได้เกิน 10 นาที อาจใช้ความเร็วคงที่ตลอดระยะทางหรือวิ่งเร็วสลับช้าบ้างก็ได้ แต่การวิ่งติดต่อกันโดยไม่หยุดถึง 10 นาที เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักสำหรับผู้ที่ไม่ได้เล่นกีฬาหรือวิ่งเป็นประจำอยู่ก่อน ผู้ที่เริ่มวิ่งทุกคนจึงไม่ควรตั้งความหวังสำหรับการวิ่งครั้งแรกไว้ว่าจะวิ่งให้ได้ตลอดมากกว่า 10 นาที โดยไม่สลับด้วยการเดินวิ่ง

ซึ่งจริงๆ แล้วการวิ่งสลับกับการเดินยาวๆ โดยไม่หยุดวิ่งใน วันแรกๆ เป็นสิ่งถูกต้อง เป็นการผ่อนคลายร่างกายที่ไม่ทำให้เกิดความเครียดมากจนเกินไป แต่ในวันต่อๆ ไป ควรเพิ่มระยะเวลาของการวิ่งให้มากขึ้น ลดระยะเวลาของการเดินให้น้อยลง จนในที่สุดสามารถวิ่งเหยาะได้ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 10 นาที โดยไม่ต้องสลับด้วยการเดิน ทำเช่นนี้อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ จึงถือได้ว่าเป็นการวิ่งเพื่อสุขภาพ
3. การอบอุ่นร่างกายก่อนวิ่งและการผ่อนคลายร่างกายหลังวิ่ง ก่อนและหลังการวิ่งทุกครั้งควรอบอุ่นร่างกายและผ่อนคลายร่างกาย ประมาณ 4-5 นาที โดยวิ่งเหยาะๆ ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าที่ใช้ในการวิ่งจริง พร้อมกายบริหารยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย



วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

เทคนิคการทำความสะอาดรองเท้ากีฬา

เทคนิคการทำความสะอาดรองเท้ากีฬา


ก่อนนำไปซักต้อง ?

-ถอดเชือกรองเท้า และแผ่นรองรองเท้าออกเสียก่อน
-ทำความสะอาดเบื้องต้นก่อนนำไปซัก โดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น หรือสเตคลีนเช็ดคราบสกปรกออกให้มากที่สุด หรือใช้แปรงขนนุ่มๆ ขัดคราบที่ฝังแน่น

ขั้นตอนการซัก

         -หลีกเลี่ยงการใช้สารฟอกขาว หรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารฟอกขาวผสมอยู่ ให้ใช้สบู่หรือผงซักฟอกธรรมดาแทน หากใครกลัวคราบผงซักฟอกจะติดที่รองเท้า ให้ใช้น้ำยาซักผ้าแทนก็ได้
         -ซักด้วยมือ ผสมน้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟองกับน้ำสะอาด ใช้แปรงขนนุ่มขัดเบาๆ แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง
         -เครื่องซักผ้าก็ซักรองเท้าได้ โดยนำรองเท้าใส่ไปในปอกหมอนที่ไม่ใช้แล้ว มัดปากให้สนิท และใส่ผ้าขนหนูลงไปในถังซักผ้าด้วย เพื่อป้องกันการกระแทกและถนอมรองเท้าไม่ให้เสียหายระหว่างการปั่น
         -สำหรับผู้ที่ซักด้วยเครื่องซักผ้า ควรเลือกโปรแกรมการซักสำหรับผ้าเนื้อบาง ด้วยอุณภูมิเย็น

ตากแห้งยังไง ?

       -ให้ใช้กระดาษทิชชู่ยัดไว้ในรองเท้าเพื่อช่วยซับน้ำ และลดการเกิดกลิ่นอับชื้น สำหรับรองเท้าสีขาวให้ใช้กระดาษทิชชู่ห่อรอบรองเท้า เพื่อป้องกันคราบเหลืองติดรองเท้า
       -ตากในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ลมโกรก ไม่ควรตากรองเท้ากับแสงแดดโดยตรง หรือใช้ความร้อนจากไดร์เป่าผม เพราะจะทำให้เนื้อผ้าและวัสดุรองเท้าเสียหาย สีซีดลงได้
แล้วรองเท้าที่มีวัสดุอย่างหนังล่ะทำความสะอาดยังไง ?

       -หากเป็นรองเท้าหนังกลับ ให้ใช้กระดาษทรายถูคราบเปื้อนออกเบาๆ แล้วใช้ผ้าขนหนูขัดซ้ำอีกที ขั้นตอนสุดท้ายเช็คด้วยคอนดิชั่นเนอร์สำหรับรองเท้าเช็ด เพื่อช่วยให้หนังนุ่มขึ้น 
       -ถ้าเป็นหนังแท้ให้ใช้ผ้าเช็ดคราบสกปรกออกก่อน แล้วใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหนังเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง
       -ไม่ต้องนำไปซักน้ำ แต่ให้ใช้กระดาษทิชชู่หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ยัดในรองเท้า แล้วนำไปตากในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อลดกลิ่นอับชื้น

ขอขอบคุณความรู้ดีๆ 
http://gadgets.siamsport.co.th/how-to-cleaning-shoes/

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

สเต็ปต์ซักรองเท้าวิ่งที่ถูกต้อง

สเต็ปต์ซักรองเท้าวิ่งที่ถูกต้อง
          ช่วงหน้าฝน การออกไปวิ่ง ทำให้รองเท้าเผชิญหลายสิ่ง และนี่คือ 3 เทคนิคสำคัญในการทำความสะอาดเมื่อโคลนตม ทำให้รองเท้ามัวหมอง คุณจึงต้องหาวิธีขจัดมันออกไป  เพื่อให้กลับมาสวยใสเหมือนก่อนออกจากบ้าน
       1. แยกซักระหว่างแผ่นรองหรือพื้นด้านใน ถ้าสามารถแกะออกได้ อย่ามักง่าย ซักรวมกัน เพราะจะทำให้สะอาดได้ไม่ทั่วถึง และมีกลิ่นอับ โดยการทำแยกซัก จะช่วยให้พื้นด้านในรองเท้าดูไม่เก่าเร็วเกินไป รวมถึงเชือกผูกรองเท้าด้วย
       2.ขจัดโคลนตมออกไปจากรองเท้าของคุณ โดยใช้แปรงสีฟันเก่า (ไม่ควรใช้แปรงซักผ้า) เพื่อความนุ่มนวล, แปรงเล็บ สำหรับชอนไชเข้าทำความสะอาดในซอกหลืบ พร้อมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย ผสมสบู่สูตรอ่อนโยนและไม่มีสารจาระบี ส่วนการทำความขอบด้านข้างของพืื้นรองเท้า ใช้ยาสีฟันช่วย โดยขัดเบาๆ ตาม ซึ่งจะช่วยให้ดูขาวสะอาดเหมือนเดิม
       3. ตากไว้ให้แห้งตามธรรมชาติ ห้ามวางใกล้อุปกรณ์ทำความร้อน เพราะรองเท้าอาจจะเสียรูปทรงจากการได้รับความร้อนโดยตรง สำหรับรูปแบบในการตาก ให้เปิดลิ้นรองเท้าออกมาแล้วยัดกระดาษพวกหนังสือพิมพ์เข้าไป เพื่อให้ดูดซับความชื้นด้านในรองเท้า จากนั้น ทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมงให้แห้ง ซึ่งก็ถือเป็นระยะเวลาปกติ ในการตากรองเท้า

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

รองเท้าที่เหมาะสมกับการวิ่งสำหรับคนไทย

รองเท้าที่เหมาะสมกับการวิ่งสำหรับคนไทย

         รองเท้าที่สวมใส่สำหรับวิ่งมีความสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง  ที่จะป้องกันและรักษาการบาดเจ็บจากการวิ่ง  จริงอยู่รองเท้าคู่หนึ่ง  ขนดหนึ่งไม่ได้เหมาะสำหรับนักวิ่งทุกๆ คน  ถึงแม้ความเจริญก้าวหน้าของรองเท้าในปัจจุบันจะได้ออกแบบใหม่ๆ และเนื้อรองเท้า ให้มีความปลอดภัยในการวิ่งมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นความมั่นคง  ความอ่อนนิ่มยืดหยุ่นและการดูดซับแรงกระแทก

                  ก่อนที่จะไปถึงการเลือกรองเท้าที่สวมใส่  สำหรับวิ่งขอให้นึกถึงว่าเราเป็นคนไทย  รูปเท้า  ฝ่าเท้าของเราอาจไม่เหมือนชาวต่างชาติ  ดังนั้น รองเท้าจากต่างประเทศอาจจะเหมาะหรือไม่เหมาะสำหรับเราก็ได้

                  จากผลงานวิจัยฝ่าเท้าของคนไทย 2,000 เท้า และนักีฬาไทยทุกระดับความสามารถ ( นักเรียน อุดมศึกษา ทีมชาติ ) โดยข้าพเจ้า ศาสตราจารย์นายแพทย์สิทธิ์  เตชะกัมพุช และอาจารย์ที  ดอนโพธิ์งาม  พบสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเลือกรองเท้าสำหรับสวมใส่ดังนี้

               1. เกี่ยวกับส่วนนำของเท้า  ซึ่งได้แก่  หัวแม่เท้าหรือนิ้วชี้นั้น  ผลของการวิจัยบอกได้ว่า  พวกที่มีหัวแม่เท้าเป็ฯส่วนนำมีประมาณ 40-50%   และพวกที่มีทั้งหัวแม่เท้าและนิ้วชี้เป็นส่วนนำ ( เท่ากัน) มีประมาณ 10-15% ประโยชน์ที่น่าจะได้จากผลการวิจัยนี้  ได้แก่การออกแบบรองเท้า  ควรให้มีส่วนนำของรองเท้าค่อนมาทางหัวแม่เท้ามากกว่าที่จะอยู่กลางๆ  เพราะจะทำให้เกิดการบีบเบนหัวแม่เท้าไปทางด้านนิ้วก้อย  ทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่อนิ้วเท้าหรือเกิดการเสื่อมของข้อต่อนิ้วเท้าได้

               2. ความยาวของเท้าเป็นประมาณหนึ่งในเจ็ดเท่าของความสูงของบุคคลนั้น  กล่าวคือ  หากทราบความสูงของบุคคลนั้น  ก็สามารถทราบความยาวของฝ่าเท้าได้ทันที

               3. ในขณะยืนรับน้ำหนักตัวเต็มที่นั้น  นิ้วก้อยไม่สัมผัสกับพื้นถึงร้อยละ 20-30% ซึ่งแสดงว่านิ้วก้อยมิได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการยืนรับน้ำหนักอย่างนิ้วอื่น ๆ ของเท้าจำนวนไม่น้อย

               4. ส่วนกว้างสุดของรอยฝ่าเท้าตามแนวเฉียงระหว่างนิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วก้อย  กับส่วนกว้างสุดบริเวณส้นเท้า  มีอัตราส่วนประมาณ 1.8 : 1  ความสัพันธ์อันนี้  น่าจะนำมาเป็นประโยชน์ในการออกแบบรองเท้ากล่าวคือ  ควรให้มีความกว้างสุดตามแนวเฉียงระหว่างนิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วก้อยมีความกว้าง 1.8 เท่า  ของความกว้างสุดของส้นเท้า  ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการบีบคับฝ่าเท้า โดยเฉพาะขณะเดินหรือวิ่ง

                5.ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างส่วนสูงของความโค้งของฝ่าเท้ากับน้ำหนักตัวของผู้นั้น  ฉะนั้น  ความเชื่อที่ว่าคนอ้วนมักมีอุ้งฝ่าเท้าแบนนั้น  จึงไม่เป็นจริงเสมอไป


  รองเท้าวิ่งที่ดีควรมีลักษณะดังนี้



                1.ความพอดี ( ฟิต) เป็นสิ่งสำคัญสิ่งแรกที่สุดที่ต้องเลือกสวมรองเท้าที่พอดีไม่แคบ ไม่บีบรัดส่วนใดของเท้า  รองเท้าที่ผิดๆ มักจะยาวและแคบทำให้บีบรัดส่วนกว้างที่สุดของฝ่าเท้าและเกิดการบาดเจ็บจากการวิ่งได้

                2. เชือกรัดรองเท้า  ควรอยู่ตรงกลางและปล่อยส่วนปลายเท้าให้ว่างเว้นไว้จะดีกว่า  ใช้เชือกรัดรองเท้ายาวจากปลายมาตลอด  ถึงแม้จะปรับความพอดีของรองเท้าได้แต่เมื่อวิ่งนานๆ หรือระยะไกล  การเสียดสีหรือถูไถของเชือกบริเวณปลายเท้าส่วนที่เขย่งเมื่อวิ่งจะทำให้เกิดผิวหนังพุพองได้

                3. ส่วนหุ้มส้นเท้าที่ยกสูงขึ้นมาควรมีหรือไม่  ขณะวิ่งเมื่อเขย่งเท้าโดยข้อเท้ากระดกลงจะทำให้ส่วนที่ยื่นบนหลังส้นเท้านั้นกดที่เอ็นร้อยหวายพอดี  วิ่งนานๆ ทำให้เกิดการอักเสบของตัวเอ็นหรือปลอกหุ้มเอ็นของเอ็นร้อยหวายได้  เมื่อมีปัญหาเช่นนี้ให้ตัดออกเสียเลย   หรือตลบลงด้านหลังหรือผ่าตัดแยกเสียเลย

                4.พื้นส้นเท้า  พื้นส้นเท้าสำหรับนักวิ่งต้องกลม  เพราะส้นเท้าเรากลมถ้าไม่ฟิตพอดีทำให้ไม่มีความมั่นคงของส้นเท้า  จะเกิดการบาดเจ็บตามมาและเจ็บหลังส้นเท้าควรแข็งและแน่นเพื่อความมั่นคงของส้นเท้าเช่นกัน

                 5. พื้นรองเท้า  พื้นชั้นในที่รองรับฝ่าเท้า ควรนิ่มและยืดหยุ่น และมีส่วนนูนรับอุ้งเท้าเพื่อให้ฟิตพอดี  พื้นด้านนอกแข็งแต่บริเวณกึ่งกลางควรยืดหยุ่นและหักงอได้  และมีที่ยึดเกาะพื้นได้ดี  ไม่ราบเรียบจนลื่น

                  6. พื้นรองเท้าบริเวณส้นเท้าอาจเฉียงขึ้น เพื่อความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวก้าวเท้าขณะวิ่ง

                  7. รองเท้าวิ่งควรมีส้นสูงเล็กน้อย ประมาณ2เซ็นติเมตรทั้งนี้เพื่อแบ่งเบาการทำงานของเอ็นร้อยหวายและกล้ามเนื้อต้นขา 

                   8. วัสดุที่ห่อหุ้มรองเท้า ไม่ควรแข็ง  เพราะจะเกิดการเสียดสี  ทำให้ร้อนและผิวหนังพองได้  ไม่ว่าจะเป็นหนัง ผ้าใบ หรือไนล่อน  ควรยืดหยุ่น  นิ่มและระบายความร้อนได้ดี

                  9. น้ำหนักรองเท้า ถ้าหนักก็มีความมั่นคงดี  แต่วิ่งได้ช้า  ดังนั้น  การเลือกใส่  นอกจากความพอใจในน้ำหนักความพอดีแล้ว   ถ้าแข่งขันใช้น้ำหนักเบา  ก็จะทำให้วิ่งได้เร็วขึ้น

                   เมื่อใส่วิ่งแล้วควรตรวจดูและซ่อมแซม  การชำรุดสึกหรอเพื่อไม่ให้ผิดรูปไป  ทำให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ง่าย