วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

บทความดีๆ สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่

บทความดีๆ สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่



1.การวิ่งเพื่อสุขภาพ ต่างกับการวิ่งเพื่อการแข่งขัน
 
การวิ่งเพื่อสุขภาพ

               การวิ่งเพื่อสุขภาพต่างกับการวิ่งแข่งขันเพราะเป็นการวิ่งเหยาะๆด้วยความเร็วระหว่างการเดินกับการวิ่งเร็ว การวิ่งเพื่อสุขภาพเป็นการออกกำลังกายแบบอากาศนิยม (แอโรบิค) ชนิดหนึ่งที่ทำได้ง่ายเพราะไม่มีเทคนิคที่ซับซ้อน  และมีอันตรายน้อยเมื่อเทียบกับการเล่นกีฬาหรือการออกกำลังกายแบบอื่น  การวิ่งเพื่อสุขภาพที่ปฏิบัติอย่างถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพร่างกายจะส่งผลให้สมรรถภาพการรับออกซิเจนของร่างกายดีขึ้น เพราะทำให้หัวใจหลอดเลือดและปอดมีการเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพและการทำงานจนสามารถรับและขนส่งออกซิเจนได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันกล้ามเนื้อและอวัยวะอื่นก็พลอยแข็งแรงขึ้น นอกจากนั้นยังมีผลต่อจิตใจที่ทำให้ผู้วิ่งคลายความเคร่งเครียดทางจิตใจและมีอารมณ์ปลอดโปร่งขึ้นด้วย

อุปกรณ์การวิ่ง

               ในภูมิอากาศโดยเฉลี่ยของประเทศไทย เสื้อกางเกงที่สวมใส่เวลาวิ่งควรทำด้วยวัศดุที่ซับเหงื่อได้ดี เช่น ทำด้วยฝ้าย ควรเป็นเสื้อแขนสั้นหรือไม่มีแขน กางเกงไม่รัดแน่นที่รอบเอวและวงขามากเกินไป เป้ากางเกงหลวมแต่ไม่หย่อน การใช้ชุดวอร์มอาจทำได้ในตอนเริ่มวิ่งเมื่ออากาศหนาวรองเท้าวิ่งควรเป็นรองเท้าหุ้มส้นที่พอดีกับขนาดและรูปเท้า ไม่มีการกดหรือเสียดสีกับส่วนใดส่วนหนึ่งของเท้าจนรู้สึกเจ็บขณะวิ่ง ถ้าวิ่งบนพื้นแข็ง พื้นรองเท้าควรหนาและนุ่ม

สถานที่วิ่ง

               ควรมีพื้นเรียบไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่เอียงข้างหนึ่งข้างใดอยู่ตลอดระยะทาง ระหว่างทางอาจมีเนินชันหรือทางลาดลงบ้างได้ แต่ไม่ควรชันมากเกินไป

เวลาวิ่ง

              เลือกเวลาที่สะดวกและสามารถทำเป็นประจำสม่ำเสมอไดแต่ต้องหลีกเลี่ยงการวิ่งหลังกินอาหารอิ่มใหม่ๆและการวิ่งในอากาศร้อนจัด



หลักของการวิ่งเพื่อสุขภาพ


หลักของการวิ่งเพื่อสุขภาพ

           1.ท่าวิ่ง ใช้ท่าวิ่งง่ายๆที่เป็นธรรมชาติไม่เกร็ง โดยส่วนใหญ่แล้วเวลาลงเท้าใช้ส้นเท้าสัมผัสพื้นก่อนจึงวางเท้าเต็มแล้วยกส้นเท้าขึ้น เข่าไม่ยกสูงมากและไม่เหยียบสุด ลำตัวและศรีษะตั้งตรงข้อศอกงอเล็กน้อย และกำมือหลวมๆในบางช่วงอาจเปลี่ยนท่าวิ่งเป็นลงปลายเท้าหรือเต็มฝ่าเท้าและยกเข่าสูงหรือแกว่งแขนมากขึ้นบ้างก็ได้ แต่ควรทำเป็นช่วงสั้นๆ

          2.ความหนัก ความนาน และความบ่อย ของการวิ่ง

           ความหนัก(ความเร็ว): ควรใช้ความเร็วที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยจนต้องหายใจแรง แต่ไม่ถึงกับต้องหายใจทางปากหรือมีอาการหอบ เมื่อวิ่งไปแล้ว 4-5 นาทีควรมีเหงื่อออก(ยกเว้นในอากาศเย็นจัดอาจยังไม่มี)แต่สามารถวิ่งต่อไปได้เกิน 10 นาที ความเร็วนี้อาจใช้คงที่ตลอดระยะทางหรือจะวิ่งเร็วสลับช้าบ้างก็ได้

ความนาน: แพทย์กีฬาทั่วโลกถือว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิคควรมีความนานติดต่อกันไปไม่น้อยกว่า 10 นาที จึงอาจถือได้ว่าการวิ่งเพื่อสุขภาพจะต้องวิ่งติดต่อกันไม่ต่ำกว่า10 นาที แต่ทั้งนี้ต้องจัดให้สัมพันธ์กับความหนักและความบ่อยด้วยจึงจะเกิดผลในการเสริมสร้าง

ความบ่อย: ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การกีฬาพบว่าการฝึกแบบแอโรบิคโดยปริมาณรวมต่อสัปดาห์เท่ากัน การฝึกโดยใช้จำนวนครั้งมากกว่าให้ผลดีกว่า(เมื่อเปรียบเทียบการฝึกวันละ10นาที6ครั้งต่อสัปดาห์ กับการฝึกวันละ30นาที2ครั้งต่อสัปดาห์ พบว่าการฝึกวันละ10นาที6ครั้งต่อสัปดาห์ให้ผลเพิ่มสมรรถภาพแอโรบิคมากกว่า)ดังนั้น การกำหนดความของการวิ่งเพื่อสุขภาพที่นิยมปฏิบัติกันอยู่ คือ อย่างน้อย3วันต่อสัปดาห์และมีผู้วิ่งเพื่อสุขภาพจำนวนมากที่วิ่งทุกวัน ความบ่อยและความนานต่ำสุดและสูงสุดที่ได้ผลดีต่อสุขภาพสำหรับผู้ทีไม่ต้องการแข่งขันคือ
 ความบ่อย       ต่ำสุด             สูงสุด
 (วันละครั้ง)     (นาที/ครั้ง)     (นาที/ครั้ง)
 ทุกวัน                   10                   30
 4วัน/สัปดาห์         15                   40
 3วัน/สัปดาห์         20                   60

สำหรับนักวิ่งเพื่อสุขภาพที่ประสงค์จะเข้าแข่งขันวิ่งทางไกลระยะต่างๆ จะต้องวิ่งซ้อมนานกว่านี้และต้องให้ได้ระยะทางรวมภายใน1สัปดาห์อย่างน้อย2-3เท่าของระยะทางที่จะเข้าแข่งขัน

3. การอบอุ่นร่างกาย(วอร์มอัพ) ก่อนวิ่งและการผ่อนคลายร่างกายหลังวิ่ง(คูลดาวน์) ก่อนและหลังการวิ่งทุกครั้งควรอบอุ่นร่างกายและผ่อนคลายร่างกายประมาณ4-5นาที การปฏิบัติคือวิ่งเหยาะด้วยความเร็วน้อยกว่าที่ใช้ในการวิ่งจริง และทำกายบริหารยืดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกาย 

ขอบคุณข้อมูลดีๆ
http://www.jogandjoy.com/s0120/index.php?tpid=0067

วันพุธที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559

เทคนิค‘วิ่ง’ เพื่อสุขภาพ

เทคนิค ‘วิ่ง’ เพื่อสุขภาพ



1. เทคนิคในการวิ่ง

1.1 การลงเท้าที่ถูกวิธีเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพื่อป้องกันการบาดเจ็บสำหรับนักวิ่งเพื่อสุขภาพ โดยส้นเท้าจะสัมผัสพื้นก่อนทั้งฝ่าเท้าจะตามลงมา และเมื่อปลายเท้าหมุนลงมาแตะพื้นก็เป็นจังหวะที่ส้นเท้าเปิดขึ้น ปลายเท้า ก็จะคล้ายตะกุยดิน ถีบตัวเหมือนสปริงดีดตัวขึ้นบนและเคลื่อนไปข้างหน้า
          จุดที่เท้าสัมผัสพื้นควรจะตรงกับหัวเข่างอเข่านิดๆ เท้าควรจะสัมผัสพื้นหลังจากที่ได้เหยียดออกไป ข้างหน้า ส่วนอีกเท้าเหวี่ยงไปข้างหลัง ควรจะลงแตะพื้นเบาๆ นักวิ่งส่วนใหญ่จะลงพื้นด้วยริมนอกของเท้า และหมุนเข้าด้านใน ซึ่งการหมุนเข้าด้านในช่วยเป็นเกราะกันกระแทก

1.2 ท่าทางในการวิ่ง ควรวิ่งให้หลังตรงและเป็นธรรมชาติมากที่สุด ศีรษะตรง ตามองตรงไปข้างหน้า ให้ส่วนต่างๆ จากศีรษะลงมาหัวไหล่และสะโพกจนถึงพื้นเป็นเส้นตรง ลำตัวไม่โน้มไปด้าน หน้าหรือเอนไปด้านหลัง


1.3 การเคลื่อนไหวของแขน จะช่วยเป็นจังหวะและการทรงตัวในการวิ่งขณะวิ่งแขนแกว่งไปมาเหมือนกับลูกตุ้มนาฬิกาไปตามแนวหน้าหลัง พยายามอย่าให้ข้อศอกงอเข้ามาแคบกว่า 90 องศา หัวแม่โป้งวางบนนิ้วชี้สบายๆ กำนิ้วหลวมๆ ข้อมือไม่เกร็ง บางครั้งอาจเหยียดแขนตรงลงมา หรือเขย่าแขนเพื่อให้กล้ามเนื้อคลายตัวบ้าง หลังจากยกแขนไว้นานๆ
1.4 การหายใจ หายใจเข้าทางจมูกและปล่อยลมหายใจออกพร้อมกันทั้งทางจมูกและปาก ยึดกฎง่ายๆ คือ การหายใจควรเป็นไปตามสบายและพยายามหายใจด้วยท้อง การหายใจด้วยท้อง คือสูดหายใจเข้าไปในปอดจนท้องขยายและบังคับปล่อยลม ให้ออกมาด้วยการแขม่วท้อง การหายใจไม่ถูกวิธีอาจจะทำให้เกิดการจุกเสียดขณะวิ่งได้

2. ความหนัก ความนาน และความบ่อยของการวิ่ง ความหนักหรือความเร็ว ควรใช้ความเร็วที่ทำให้รู้สึกเหนื่อยจนต้องหายใจแรง แต่ไม่ถึงกับต้องหายใจทางปากหรือมีอาการหอบ เมื่อวิ่งไปแล้ว 4-5 นาทีควรมีเหงื่อออก ยกเว้นในอากาศเย็นจัดอาจยังไม่มี แต่สามารถวิ่งต่อไปได้เกิน 10 นาที อาจใช้ความเร็วคงที่ตลอดระยะทางหรือวิ่งเร็วสลับช้าบ้างก็ได้ แต่การวิ่งติดต่อกันโดยไม่หยุดถึง 10 นาที เป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักสำหรับผู้ที่ไม่ได้เล่นกีฬาหรือวิ่งเป็นประจำอยู่ก่อน ผู้ที่เริ่มวิ่งทุกคนจึงไม่ควรตั้งความหวังสำหรับการวิ่งครั้งแรกไว้ว่าจะวิ่งให้ได้ตลอดมากกว่า 10 นาที โดยไม่สลับด้วยการเดินวิ่ง

ซึ่งจริงๆ แล้วการวิ่งสลับกับการเดินยาวๆ โดยไม่หยุดวิ่งใน วันแรกๆ เป็นสิ่งถูกต้อง เป็นการผ่อนคลายร่างกายที่ไม่ทำให้เกิดความเครียดมากจนเกินไป แต่ในวันต่อๆ ไป ควรเพิ่มระยะเวลาของการวิ่งให้มากขึ้น ลดระยะเวลาของการเดินให้น้อยลง จนในที่สุดสามารถวิ่งเหยาะได้ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 10 นาที โดยไม่ต้องสลับด้วยการเดิน ทำเช่นนี้อย่างน้อย 3 วันต่อสัปดาห์ จึงถือได้ว่าเป็นการวิ่งเพื่อสุขภาพ
3. การอบอุ่นร่างกายก่อนวิ่งและการผ่อนคลายร่างกายหลังวิ่ง ก่อนและหลังการวิ่งทุกครั้งควรอบอุ่นร่างกายและผ่อนคลายร่างกาย ประมาณ 4-5 นาที โดยวิ่งเหยาะๆ ด้วยความเร็วที่น้อยกว่าที่ใช้ในการวิ่งจริง พร้อมกายบริหารยืดเหยียดกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย



วันพุธที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559

เทคนิคการทำความสะอาดรองเท้ากีฬา

เทคนิคการทำความสะอาดรองเท้ากีฬา


ก่อนนำไปซักต้อง ?

-ถอดเชือกรองเท้า และแผ่นรองรองเท้าออกเสียก่อน
-ทำความสะอาดเบื้องต้นก่อนนำไปซัก โดยใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น หรือสเตคลีนเช็ดคราบสกปรกออกให้มากที่สุด หรือใช้แปรงขนนุ่มๆ ขัดคราบที่ฝังแน่น

ขั้นตอนการซัก

         -หลีกเลี่ยงการใช้สารฟอกขาว หรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารฟอกขาวผสมอยู่ ให้ใช้สบู่หรือผงซักฟอกธรรมดาแทน หากใครกลัวคราบผงซักฟอกจะติดที่รองเท้า ให้ใช้น้ำยาซักผ้าแทนก็ได้
         -ซักด้วยมือ ผสมน้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟองกับน้ำสะอาด ใช้แปรงขนนุ่มขัดเบาๆ แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง
         -เครื่องซักผ้าก็ซักรองเท้าได้ โดยนำรองเท้าใส่ไปในปอกหมอนที่ไม่ใช้แล้ว มัดปากให้สนิท และใส่ผ้าขนหนูลงไปในถังซักผ้าด้วย เพื่อป้องกันการกระแทกและถนอมรองเท้าไม่ให้เสียหายระหว่างการปั่น
         -สำหรับผู้ที่ซักด้วยเครื่องซักผ้า ควรเลือกโปรแกรมการซักสำหรับผ้าเนื้อบาง ด้วยอุณภูมิเย็น

ตากแห้งยังไง ?

       -ให้ใช้กระดาษทิชชู่ยัดไว้ในรองเท้าเพื่อช่วยซับน้ำ และลดการเกิดกลิ่นอับชื้น สำหรับรองเท้าสีขาวให้ใช้กระดาษทิชชู่ห่อรอบรองเท้า เพื่อป้องกันคราบเหลืองติดรองเท้า
       -ตากในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก ลมโกรก ไม่ควรตากรองเท้ากับแสงแดดโดยตรง หรือใช้ความร้อนจากไดร์เป่าผม เพราะจะทำให้เนื้อผ้าและวัสดุรองเท้าเสียหาย สีซีดลงได้
แล้วรองเท้าที่มีวัสดุอย่างหนังล่ะทำความสะอาดยังไง ?

       -หากเป็นรองเท้าหนังกลับ ให้ใช้กระดาษทรายถูคราบเปื้อนออกเบาๆ แล้วใช้ผ้าขนหนูขัดซ้ำอีกที ขั้นตอนสุดท้ายเช็คด้วยคอนดิชั่นเนอร์สำหรับรองเท้าเช็ด เพื่อช่วยให้หนังนุ่มขึ้น 
       -ถ้าเป็นหนังแท้ให้ใช้ผ้าเช็ดคราบสกปรกออกก่อน แล้วใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหนังเช็ดทำความสะอาดอีกครั้ง
       -ไม่ต้องนำไปซักน้ำ แต่ให้ใช้กระดาษทิชชู่หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ยัดในรองเท้า แล้วนำไปตากในที่ที่มีอากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อลดกลิ่นอับชื้น

ขอขอบคุณความรู้ดีๆ 
http://gadgets.siamsport.co.th/how-to-cleaning-shoes/

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2559

สเต็ปต์ซักรองเท้าวิ่งที่ถูกต้อง

สเต็ปต์ซักรองเท้าวิ่งที่ถูกต้อง
          ช่วงหน้าฝน การออกไปวิ่ง ทำให้รองเท้าเผชิญหลายสิ่ง และนี่คือ 3 เทคนิคสำคัญในการทำความสะอาดเมื่อโคลนตม ทำให้รองเท้ามัวหมอง คุณจึงต้องหาวิธีขจัดมันออกไป  เพื่อให้กลับมาสวยใสเหมือนก่อนออกจากบ้าน
       1. แยกซักระหว่างแผ่นรองหรือพื้นด้านใน ถ้าสามารถแกะออกได้ อย่ามักง่าย ซักรวมกัน เพราะจะทำให้สะอาดได้ไม่ทั่วถึง และมีกลิ่นอับ โดยการทำแยกซัก จะช่วยให้พื้นด้านในรองเท้าดูไม่เก่าเร็วเกินไป รวมถึงเชือกผูกรองเท้าด้วย
       2.ขจัดโคลนตมออกไปจากรองเท้าของคุณ โดยใช้แปรงสีฟันเก่า (ไม่ควรใช้แปรงซักผ้า) เพื่อความนุ่มนวล, แปรงเล็บ สำหรับชอนไชเข้าทำความสะอาดในซอกหลืบ พร้อมกับน้ำอุ่นเล็กน้อย ผสมสบู่สูตรอ่อนโยนและไม่มีสารจาระบี ส่วนการทำความขอบด้านข้างของพืื้นรองเท้า ใช้ยาสีฟันช่วย โดยขัดเบาๆ ตาม ซึ่งจะช่วยให้ดูขาวสะอาดเหมือนเดิม
       3. ตากไว้ให้แห้งตามธรรมชาติ ห้ามวางใกล้อุปกรณ์ทำความร้อน เพราะรองเท้าอาจจะเสียรูปทรงจากการได้รับความร้อนโดยตรง สำหรับรูปแบบในการตาก ให้เปิดลิ้นรองเท้าออกมาแล้วยัดกระดาษพวกหนังสือพิมพ์เข้าไป เพื่อให้ดูดซับความชื้นด้านในรองเท้า จากนั้น ทิ้งไว้ประมาณ 12 ชั่วโมงให้แห้ง ซึ่งก็ถือเป็นระยะเวลาปกติ ในการตากรองเท้า

วันอังคารที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2559

รองเท้าที่เหมาะสมกับการวิ่งสำหรับคนไทย

รองเท้าที่เหมาะสมกับการวิ่งสำหรับคนไทย

         รองเท้าที่สวมใส่สำหรับวิ่งมีความสำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่ง  ที่จะป้องกันและรักษาการบาดเจ็บจากการวิ่ง  จริงอยู่รองเท้าคู่หนึ่ง  ขนดหนึ่งไม่ได้เหมาะสำหรับนักวิ่งทุกๆ คน  ถึงแม้ความเจริญก้าวหน้าของรองเท้าในปัจจุบันจะได้ออกแบบใหม่ๆ และเนื้อรองเท้า ให้มีความปลอดภัยในการวิ่งมากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นความมั่นคง  ความอ่อนนิ่มยืดหยุ่นและการดูดซับแรงกระแทก

                  ก่อนที่จะไปถึงการเลือกรองเท้าที่สวมใส่  สำหรับวิ่งขอให้นึกถึงว่าเราเป็นคนไทย  รูปเท้า  ฝ่าเท้าของเราอาจไม่เหมือนชาวต่างชาติ  ดังนั้น รองเท้าจากต่างประเทศอาจจะเหมาะหรือไม่เหมาะสำหรับเราก็ได้

                  จากผลงานวิจัยฝ่าเท้าของคนไทย 2,000 เท้า และนักีฬาไทยทุกระดับความสามารถ ( นักเรียน อุดมศึกษา ทีมชาติ ) โดยข้าพเจ้า ศาสตราจารย์นายแพทย์สิทธิ์  เตชะกัมพุช และอาจารย์ที  ดอนโพธิ์งาม  พบสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเลือกรองเท้าสำหรับสวมใส่ดังนี้

               1. เกี่ยวกับส่วนนำของเท้า  ซึ่งได้แก่  หัวแม่เท้าหรือนิ้วชี้นั้น  ผลของการวิจัยบอกได้ว่า  พวกที่มีหัวแม่เท้าเป็ฯส่วนนำมีประมาณ 40-50%   และพวกที่มีทั้งหัวแม่เท้าและนิ้วชี้เป็นส่วนนำ ( เท่ากัน) มีประมาณ 10-15% ประโยชน์ที่น่าจะได้จากผลการวิจัยนี้  ได้แก่การออกแบบรองเท้า  ควรให้มีส่วนนำของรองเท้าค่อนมาทางหัวแม่เท้ามากกว่าที่จะอยู่กลางๆ  เพราะจะทำให้เกิดการบีบเบนหัวแม่เท้าไปทางด้านนิ้วก้อย  ทำให้เกิดการอักเสบของข้อต่อนิ้วเท้าหรือเกิดการเสื่อมของข้อต่อนิ้วเท้าได้

               2. ความยาวของเท้าเป็นประมาณหนึ่งในเจ็ดเท่าของความสูงของบุคคลนั้น  กล่าวคือ  หากทราบความสูงของบุคคลนั้น  ก็สามารถทราบความยาวของฝ่าเท้าได้ทันที

               3. ในขณะยืนรับน้ำหนักตัวเต็มที่นั้น  นิ้วก้อยไม่สัมผัสกับพื้นถึงร้อยละ 20-30% ซึ่งแสดงว่านิ้วก้อยมิได้ทำหน้าที่เกี่ยวกับการยืนรับน้ำหนักอย่างนิ้วอื่น ๆ ของเท้าจำนวนไม่น้อย

               4. ส่วนกว้างสุดของรอยฝ่าเท้าตามแนวเฉียงระหว่างนิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วก้อย  กับส่วนกว้างสุดบริเวณส้นเท้า  มีอัตราส่วนประมาณ 1.8 : 1  ความสัพันธ์อันนี้  น่าจะนำมาเป็นประโยชน์ในการออกแบบรองเท้ากล่าวคือ  ควรให้มีความกว้างสุดตามแนวเฉียงระหว่างนิ้วหัวแม่เท้ากับนิ้วก้อยมีความกว้าง 1.8 เท่า  ของความกว้างสุดของส้นเท้า  ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการบีบคับฝ่าเท้า โดยเฉพาะขณะเดินหรือวิ่ง

                5.ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างส่วนสูงของความโค้งของฝ่าเท้ากับน้ำหนักตัวของผู้นั้น  ฉะนั้น  ความเชื่อที่ว่าคนอ้วนมักมีอุ้งฝ่าเท้าแบนนั้น  จึงไม่เป็นจริงเสมอไป


  รองเท้าวิ่งที่ดีควรมีลักษณะดังนี้



                1.ความพอดี ( ฟิต) เป็นสิ่งสำคัญสิ่งแรกที่สุดที่ต้องเลือกสวมรองเท้าที่พอดีไม่แคบ ไม่บีบรัดส่วนใดของเท้า  รองเท้าที่ผิดๆ มักจะยาวและแคบทำให้บีบรัดส่วนกว้างที่สุดของฝ่าเท้าและเกิดการบาดเจ็บจากการวิ่งได้

                2. เชือกรัดรองเท้า  ควรอยู่ตรงกลางและปล่อยส่วนปลายเท้าให้ว่างเว้นไว้จะดีกว่า  ใช้เชือกรัดรองเท้ายาวจากปลายมาตลอด  ถึงแม้จะปรับความพอดีของรองเท้าได้แต่เมื่อวิ่งนานๆ หรือระยะไกล  การเสียดสีหรือถูไถของเชือกบริเวณปลายเท้าส่วนที่เขย่งเมื่อวิ่งจะทำให้เกิดผิวหนังพุพองได้

                3. ส่วนหุ้มส้นเท้าที่ยกสูงขึ้นมาควรมีหรือไม่  ขณะวิ่งเมื่อเขย่งเท้าโดยข้อเท้ากระดกลงจะทำให้ส่วนที่ยื่นบนหลังส้นเท้านั้นกดที่เอ็นร้อยหวายพอดี  วิ่งนานๆ ทำให้เกิดการอักเสบของตัวเอ็นหรือปลอกหุ้มเอ็นของเอ็นร้อยหวายได้  เมื่อมีปัญหาเช่นนี้ให้ตัดออกเสียเลย   หรือตลบลงด้านหลังหรือผ่าตัดแยกเสียเลย

                4.พื้นส้นเท้า  พื้นส้นเท้าสำหรับนักวิ่งต้องกลม  เพราะส้นเท้าเรากลมถ้าไม่ฟิตพอดีทำให้ไม่มีความมั่นคงของส้นเท้า  จะเกิดการบาดเจ็บตามมาและเจ็บหลังส้นเท้าควรแข็งและแน่นเพื่อความมั่นคงของส้นเท้าเช่นกัน

                 5. พื้นรองเท้า  พื้นชั้นในที่รองรับฝ่าเท้า ควรนิ่มและยืดหยุ่น และมีส่วนนูนรับอุ้งเท้าเพื่อให้ฟิตพอดี  พื้นด้านนอกแข็งแต่บริเวณกึ่งกลางควรยืดหยุ่นและหักงอได้  และมีที่ยึดเกาะพื้นได้ดี  ไม่ราบเรียบจนลื่น

                  6. พื้นรองเท้าบริเวณส้นเท้าอาจเฉียงขึ้น เพื่อความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวก้าวเท้าขณะวิ่ง

                  7. รองเท้าวิ่งควรมีส้นสูงเล็กน้อย ประมาณ2เซ็นติเมตรทั้งนี้เพื่อแบ่งเบาการทำงานของเอ็นร้อยหวายและกล้ามเนื้อต้นขา 

                   8. วัสดุที่ห่อหุ้มรองเท้า ไม่ควรแข็ง  เพราะจะเกิดการเสียดสี  ทำให้ร้อนและผิวหนังพองได้  ไม่ว่าจะเป็นหนัง ผ้าใบ หรือไนล่อน  ควรยืดหยุ่น  นิ่มและระบายความร้อนได้ดี

                  9. น้ำหนักรองเท้า ถ้าหนักก็มีความมั่นคงดี  แต่วิ่งได้ช้า  ดังนั้น  การเลือกใส่  นอกจากความพอใจในน้ำหนักความพอดีแล้ว   ถ้าแข่งขันใช้น้ำหนักเบา  ก็จะทำให้วิ่งได้เร็วขึ้น

                   เมื่อใส่วิ่งแล้วควรตรวจดูและซ่อมแซม  การชำรุดสึกหรอเพื่อไม่ให้ผิดรูปไป  ทำให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บได้ง่าย